ตำนานสโมสร

สตีเว่นเจอร์ราร์ด กับสโมสรลิเวอร์พูล (ต่อ)

ประวัติ สตีเว่นเจอร์ราร์ด กับ สโมสรลิเวอร์พูล

ในฤดูกาล 2005/2006 สตีเว่นเจอร์ราร์ด ก็เป็นกำลังสำคัญของ สโมสรลิเวอร์พูล อีกเช่นเคย ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยังไม่ตกลงไปเลย และพาทีมพลิกสถานการณ์คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้ ด้วยลูกยิงไกลสุดสวยของเขา ที่ช่วยให้ “หงส์แดง” ตีเสมอ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ได้ 3-3 ก่อนจะไปเอาชนะได้ด้วยการดวลจุดโทษ โดยลูกยิงกลสุดสวยของเขา ยิงจากระยะประมาณ 35 หลา มีความเร็ว 28 ไมล์ ต่อชั่วโมง และเป็นลูกยิงที่ดีที่สุดลูกหนึ่งในประวัติศาสตร์ของเอฟเอ คัพ นอกจากจะพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ มาครองได้แล้ว เจอร์ราร์ด ยังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักเตะอังกฤษ หรือ พีเอฟเอ ทำให้เขาเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล คนแรกที่ได้รางวัลนี้ ต่อจาก จอห์น บาร์นส์ อดีตปีกจอมเลื้อยของ “หงส์แดง” ที่เคยได้รางวัลนี้ ในปี 1988 จากการทำประตูได้ในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ครั้งล่สุด ทำให้ เจอร์ราร์ด สามารถทำประตูในรอบชิงชนะเลิศของฟุตบอลรายการใหญ่ๆในระดับสโมสร ได้ครบทุกรายการแล้ว โดยก่อนหน้านี้ก็ทำประตูได้ ในยูฟ่า คัพ นัดชิงชนะเลิศกับ อลาเบส ในปี 2001 ต่อด้วย ลีก คัพ ปี 2003 ตามด้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2005 ก่อนจะมายิงได้ในเอฟเอ คัพ ปี 2006

ความสำคัญของสตีเว่นเจอร์ราร์ด ในสโมสรลิเวอร์พูล

2006-2007 : รองแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สตีเว่นเจอร์ราร์ด กับสโมสรลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทฤดูกาลนี้ได้สวยหรู ด้วยการเฉือนเอาชนะ เชลซี มาได้ 2-1 ในศึกคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ช่วงเปิดฤดูกาล ซึ่ง แม้ว่า เจอร์ราร์ด จะไม่ได้ลงเล่นเป็น 11 ตัวจริง ก่อนที่จะถูกส่งลงไปเล่นแทน เบาเด้นไวน์ เซนเด้น ในช่วงครึ่งหลัง แต่ หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล ก็ไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆ ได้เลย โดยพวกเขาได้อันดับ 3 ในศึกพรีเมียร์ชิพ มีคะแนนตามหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง 21 แต้ม และในเกมเอฟเอ คัพ พวกเขาก็ไปแพ้ให้กับ อาร์เซน่อล ในรอบที่สาม ขณะที่ เกมคาร์ลิ่ง คัพ ทีม “หงส์แดง” ก็กระเด็นตกรอบก่อนรองชนะเลิศ ไปด้วยน้ำมือของ อาร์เซน่อล อีกเช่นเคย หลังปราชัยคาถิ่น แอนฟิลด์ ของตัวเอง ไปแบบย่อยยับ 3-6 อย่างไรก็ตาม สำหรับในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ลิเวอร์พูลก็ถือว่าทำผลงานได้ดี หลังจากทุบเอาชนะ บาร์เซโลน่า อดีตแชมป์ในปีที่แล้ว ได้สำเร็จ ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ก่อนที่จะเขี่ย เชลซี ไปได้ในรอบรองชนะเลิศ ด้วยการยิงจุดโทษตัดสิน และเข้าไปชิงดำกับอดีตคู่ปรับเก่าในปี 2001 อย่าง เอซี มิลาน อีกครั้ง แต่กลับเป็นหนังคนละม้วน เหมือน พวกเขาต้องเป็น ฝ่ายปราชัยไป 1-2 ในท้ายที่สุด

2007-2008 : ออกสตาร์ทดี แต่จบฤดูกาลมือเปล่าอีกครั้ง

สตีเว่นเจอร์ราร์ด สวมบทฮีโร่ของทีมต้นแต่เกมนัดเปิดสนาม ในเกมที่พบกับ แอสตัน วิลล่า ที่ สนามวิลล่า พาร์ค โดย เจอร์ราร์ด ยิงฟรีคิกสุดสวย ระยะ 25 หลา ให้ ลิเวอร์พูล ออกนำทีมเจ้าถิ่นไปอีกครั้ง เป็น 2-1 ในนาทีที่ 87 ภายหลังจากทีม วิลล่า ทำประตูตีเสมอเพียง 2 นาทีเท่านั้น ส่งผลให้ จบเกม เจอร์ราร์ด ซิวตำแหน่ง “แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์” ไปครอง และนี่ก็ถือเป็นชัยชนะครั้งแรกในเกมเปิดสนามศึกพรีเมียร์ชิพของทีม นับตั้งแต่ ปี 2002 เป็นต้นมา อีกด้วย ในวันที่ 28 ตุลาคม 2007 เจอร์ราร์ด ลงสนามให้กับทีม ลิเวอร์พูล เป็นนัดที่ 400 ในเกมที่พบกับ อาร์เซน่อล ซึ่งเขาทำประตูได้ด้วยรวมถึงทำประตูได้ติดต่อกัน 7 นัดรวดหลังจากนั้น ซึ่งถือเป็น นักเตะลิเวอร์พูลคนแรกที่ทำได้ นับตั้งแต่ จอห์น อัลดริดจ์ เคยทำไว้ ในปี 1989 และต่อมาในวันที่ 13 เมษายน 2008 เจอร์ราร์ด ในวัน 28 ปี ก็ลงเล่นให้กับทีม “หงส์แดง” เป็นนัดที่ 300 ในเกมที่พบกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส อย่างไรก็ตาม ปีนี้ เจอร์ราร์ด ก็ไม่อาจช่วยให้ ลิเวอร์พูล มีแชมป์ติดไม้ติดมือได้อีกเช่นเคย โดยลิเวอรพูล จบอันดับ 4 ในศึกพรีเมียร์ชิพ และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ก่อนที่จะโดน เชลซี เขี่ย ตกรอบไปในที่สุด แต่ เจอร์ราร์ด ก็สามารถทำประตูให้ทีมได้เป็นกอบเป็นกำถึง 22 ลูก รวมถึงถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล พีเอฟเอ เป็นครั้งที่ 5 ในรอบ 6 ปี เคียงข้างกับ เฟร์นานโด ตอร์เรส หัวหอกเพื่อนร่วมทีม

2008-2009 อีกนิดเดียว ไม่น่าพลาดเลย

เจอร์ราร์ด มีปัญหาอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อต้นขาตั้งแต่ต้นฤดูกาล แต่เขาก็รับมือกับมันได้อย่างไม่มีปัญหา เจอร์ราร์ด น่าจะยิงครบร้อยในชุดลิเวอร์พูลตั้งแต่วันที่20กันยายน กับสโต๊กแต่ผู้กำกับเส้นให้เป็นลูกล้ำหน้า อย่างไรก็ตามในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จในเกมชนะพีเอสวี ไฮโอเฟ่น3-1 ในเกมยูฟ่า แชมป์เปี้ยน ลีกส์ รอบแบ่งกลุ่ม หลังจากนั้นเขาเล่นครบ 100 นัดให้ลิเวอร์พูลในฟุตบอลยุโรป ในวันที่ 10 มีนาคม 2009 ที่เอาชนะ เรอัล มาดริด 4-0 และเป็นผู้ยิงคนเดียว 2 ประตู และยังทำประตูจากลูกจุดโทษให้ทีมถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-1 ที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด อีกด้วย พร้อมกันนี้ เจอร์ราร์ด ยังถูกยกย่องจาก ซีเนอดีน ซีดานว่าป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก ในวันที่22 มีนาคม 2009 เจอร์ราร์ด ทำครั้งแฮตทริกแรกในพรีเมียร์ ลีก ในเกมที่ถล่มแอสตัน วิลล่า 5-0 และในวันที่13 พฤษภาคม 2009 เขาได้รับเลือกให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมจากการโหวตของนักข่าว และก็เป็นครั้งแรกในรอบ19ปีของนักเตะลิเวอร์พูลที่ได้รางวัลนี้ด้วย บทสรุปของฤดูกาล2008-2009 เจอร์ราร์ด พาลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 2 เป็นรองแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่เป็นแชมป์ ฤดูกาล 2009-2010 เจอร์ราร์ด ลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 9 ประตู ถือว่าเป็นฤดูกาลที่ย่ำแย่ของลิเวอร์พูล โดย “หงส์แดง” ตกรอบแบ่งกลุ่มแชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างรวดเร็ว ส่วนในเอฟเอคัพ ก็ตกรอบตั้งแต่รอบ 3 โดยพ่ายต่อ เรดดดิ้ง 1-2 และที่แย่ไปกว่านั้น คือผลงานในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล ทำอันดับได้ต่ำที่สุดในรอบหลายปี ด้วยการจบอันดับ 7 ซึ่งแตกต่างกับปีที่แล้ว ที่ลิเวอร์พูลแพ้แค่ 2 นัดแต่ว่าปีนี้แพ้ถึง 11 นัด

ในฤดูกาล 2010-2011

 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 21 นัด ยิงได้แค่ 4 ประตู เนื่องจาก เจอร์ราร์ดมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ เจอร์ราร์ดต้องพักจนจบฤดูกาลก่อนเพื่อนร่วมทีม ผลงานในพรีเมียร์ลีก ได้อันดับ 6 ของตารางทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป และในเอฟเอคัพ รอบ 3 ลิเวอร์พูล เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด แต่ก็แพ้ไป 1-0 และเจอร์ราร์ด ก็โดน ใบแดง ไล่ออกจากสนามอีกด้วย แต่ผลงานในยูโรปาลีก เจอร์ราร์ด สามารถทำแฮตทริกได้ ในนัดที่เจอกับ นาโปลี โดยลิเวอร์พูลชนะไป 3-1

ซีซั่น 2011-2012

เจอร์ราร์ดลง เล่นในเกมลีก 18 นัด ยิงประตูไปได้ 5 ประตู อีกทั้งซีซั่นนี้ ถือว่าเป็นยุคที่ตกต่ำต่อเนื่องของลิเวอร์พูล หลังจากได้อันดับ 8 ของศึกพรีเมียร์ลีก และขาดผู้เล่นหลักๆไปเยอะ และเจอร์ราร์ด ก็ไม่ได้ลงเล่นบ่อยมากนักโดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูกาล ประตูแรกที่เจอร์ราร์ดยิงได้ในลีกฤดูกาลนี้คือในนัดที่เสมอกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1-1 แต่ในลีกคัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เขาก็ยิงประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถึง เอติฮัดสเตเดียม 1-0 ก่อนจะเสมอ 2-2 ในนัดที่ 2 ที่ แอนฟีลด์ กัปตันทีมชาติอังกฤษ สามารถนำทีมได้แชมป์ ลีกคัพ มาได้ ด้วยการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ผลประตูรวม 3-2 ก่อนจะนำทีมไปสู่รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพทว่าก็แพ้ เชลซี ไปอย่างน่าเสียดาย 1-2 ในฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดทำ แฮตทริก ได้ 1 ครั้งคือ ในนัดที่เจอกับ เอฟเวอร์ตัน โดยลิเวอร์พูลชนะไป 3-0 และเป็นการลงสนามนัดที่ 400 ในพรีเมียร์ลีก ของ เจอร์ราร์ด รวมถึงเป็นการลงสนามนัดที่ 250 ในการเป็นกัปตันทีมของ เจอร์ราร์ด อีกด้วย

ฤดูกาล 2012-2013

เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 36 นัด ยิงประตูไปได้ 9 ประตู ถือว่าเป็นฤดูกาลที่เจอร์ราร์ดลงสนามเป็นตัวจริงทุกนัด แต่ไม่ได้ลง 2 นัดสุดท้าย เนื่องจาก เจอร์ราร์ด ต้องผ่าตัดหัวไหล่หลังจากได้รับอาการบาดเจ็บจากเกมส์ที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน 0-0 ประตูแรกที่เจอร์ราร์ดยิงได้ในลีกฤดูกาลนี้คือ ในนัดที่แพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1 และผลงานในพรีเมียร์ลีกได้อันดับ 7 ของตารางทำให้- ลิเวอร์พูล ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป แต่ยังมีเรื่องให้น่าจดจำก็คือ เจอร์ราร์ดลงสนามนัดที่ 600 ในนัดที่เจอกับนิวคาสเซิลยูไนเต็ด วันที่ 3 สิงหาคม 2013 เจอร์ราร์ด ลงสนามในแมตช์เกียรติยศของตนเอง จากนั้นในวันที่ 15 กรกฎาคม 2013 เจอร์ราร์ดได้ต่อสัญญากับลิเวอร์พูลไปอีก 2 ปี ในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2013 เจอร์ราร์ดได้ทำประตูที่ 100 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ นิวคาสเซิล ที่ เซนต์ เจมส์พาร์ค 2-2

ฤดูกาล 2013-2014

เจอร์ราร์ด เข้าใกล้กับความจริงที่เขาจะสามารถได้ชูถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกในเสื้อสีแดงเพลิงได้อยู่แล้วเขามีส่วนร่วมอย่างมากในการพา ”หงส์แดง” จบในอันดับที่ 2 ของตาราง แต่อย่ากระนั้นเลยมันก็เป็นเพราะเขาเองเหมือนกันที่ไปพลาดโยนถ้วยแชมป์ให้หลุดมือไปในเกมที่พบกับเชลซี ในเกมนี้ถือเป็นเกมที่สำคัญที่สุดในชีวิตของ กัปตัน ผู้นี้เลยก็ว่าได้ แต่เขาเองกลับดันไปลื่นในจังหวะที่ฟลานาเกน ทุ่มคืนหลังมาให้ จนโดนเดมบ้า บา ฉกเข้าไปยิง ดับความหวังทั้งหมดที่ฤดูกาลนี้พวกเขาได้สร้างมันมาเองกับมือ ฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดยิงไปทั้งหมด 13 ประตูกับอีก 13 แอสซิสต์ แถมยังมีชื่อเข้าชิงแข้งยอดเยี่ยม PFA แต่ก็แพ้เพื่อนร่วมทีมของเขาเองอย่าง หลุยส์ ซัวเรซไป 

บทวิเคราะห์สัญญาฉบับใหม่ของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *